ประกันรถยนต์: การสังเกตแบตเตอรี่รถยนต์เสื่อมสภาพ และวิธีดูแลรักษา
แบตเตอรี่เป็นแหล่งพลังงานจ่ายไฟให้สตาร์ทเตอร์ และระบบจุดระเบิดให้เครื่องยนต์ รวมถึงยังเป็นแหล่งให้พลังงานไปยังระบบไฟฟ้าอื่น ๆ ในรถยนต์ แต่ผู้ขับขี่รถยนต์หลายคนอาจจะไม่ทราบว่ามีวิธีดูแลแบตเตอรี่รถยนต์ให้ใช้งานได้นานเต็มที่เท่าที่ศักยภาพของแบตเตอรี่จะทำได้ จึงต้องค่าใช้จ่ายเปลี่ยนแบตเตอรี่ก่อนเวลาอันควรแต่ละครั้งกว่าพันบาท สินมั่นคงประกันภัย ประกันรถยนต์ จึงขอแนะนำวิธีดูแลรักษาแบตเตอรี่รถยนต์ให้ใช้งานได้นาน โดยเริ่มเรียนรู้เกี่ยวกับประเภทของแบตเตอรี่ และการสังเกตสภาพแบตเตอรี่ก่อน
ตามปกติแบตเตอรี่รถยนต์แบ่งเป็น
2
ประเภท
คือ แบบเปียกและแบบแห้ง
แบตเตอรี่แบบเปียกนิยมใช้ในรถยนต์ส่วนใหญ่
มีฝาเปิด-ปิดให้เติมน้ำกลั่นเองได้
มีอายุการใช้งานประมาณ 1-2
ปี
หรือนานกว่านั้นถ้าดูแลรักษาดีส่วนแบตเตอรี่แบบแห้งเป็นแบตเตอรี่ที่ไม่จำเป็นต้องเติมน้ำกลั่น
จึงไม่มีฝาเปิด-ปิด
แบตเตอรี่รุ่นใหม่จะเป็นลักษณะนี้
เนื่องจากสะดวกสบาย
ไม่ต้องคอยเติมน้ำกลั่น
แต่ราคาสูงกว่าแบตเตอรี่แบบอื่น
มีอายุการใช้งานประมาณ 5-10
ปี
นานกว่าแบบเปียก
โดยไม่ควรต่อเติมปรับแต่งอุปกรณ์ไฟฟ้าเพิ่มเข้าไป
เพราะกำลังไฟจากแบตเตอรี่อาจใช้งานไม่พอ
วิธีการสังเกตแบตเตอรี่ใกล้หมดอายุหรือเสื่อมสภาพ
1)
สตาร์ทรถติดยาก
ไดสตาร์ตไม่ค่อยทำงาน
2)
ระบบไฟฟ้าในรถยนต์ทำงานช้าลง
เช่น กระจกไฟฟ้าทำงานช้าลง
เป็นต้น
3)
น้ำกรดภายในลดลงต่ำกว่าแผ่นธาตุ
สำหรับแบตเตอรี่ธรรมดาหรือแบบเปียกต้องเติมน้ำกลั่นบ่อยๆ
อย่างน้อยสัปดาห์ละครั้ง
4)
ไฟหน้ารถไม่สว่าง
เพราะแบตเตอรี่เริ่มหมดไฟ
5)
แผ่นธาตุภายในเกิดอาการบวม
วิธีการดูแลแบตเตอรี่รถยนต์
1)
อย่าให้แบตเตอรี่มีรอยแตกรอยร้าว
เพราะทำให้ไม่สามารถเก็บประจุไฟฟ้าได้เต็มที่
2)
ทาขั้วแบตเตอรี่ด้วยวาสลีนเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดคราบขี้เกลือขึ้น
แต่ถ้ามีคราบขี้เกลือขึ้นที่ขั้วแบตเตอรี่แล้วให้ใช้น้ำอุ่นหรือค่อนข้างร้อนราดทำความสะอาด
และเช็ดให้แห้งอยู่เสมอ
3)
ควรเติมน้ำกลั่นให้อยู่ในระดับกลางๆ
ระหว่างขีดสูงสุดและต่ำสุด
ไม่เติมจนเกินขีดสูงสุด
หรือไม่ควรเติมน้ำกลั่นเกินกว่ามาตรฐานที่กำหนด
โดยเติมอย่างน้อยสัปดาห์ละ
1
ครั้ง
และไม่ปล่อยให้น้ำกลั่นแห้ง
4)
ห้ามใช้น้ำกรดหรือน้ำกลั่นที่มีสารเคมีผสม
เพราะจะไปกัดตัวแบตเตอรี่จนเกิดความเสียหายได้
5)
ตรวจสอบการเก็บประจุไฟฟ้า
และวัดระดับกระแสไฟฟ้าของแบตเตอรี่อย่างสม่ำเสมอ
6)
ตรวจสอบระบบชาร์จไฟของอัลเตอร์เนเตอร์
เพื่อสังเกตว่าระบบไฟชาร์จต่ำหรือสูงเกินไปหรือไม่
ถ้าต่ำไปอาจมีประจุไฟไม่พอใช้
มีปัญหาตอนสตาร์ตรถ
หรือถ้าสูงไปก็จะทำให้น้ำกรดและน้ำกลั่นระเหยและเดือดอย่างรวดเร็วเกินไป
จนหม้อน้ำมีความร้อนสูงเกินตามไปด้วย
7)
ช่วงที่อากาศหนาวเย็น
หรืออยู่ในพื้นที่โซนอากาศหนาว
ควรหลีกเลี่ยงการใช้กระแสไฟจากแบตเตอรี่มาก
เพราะอุณหภูมิต่ำจากอากาศหนาวจะลดประสิทธิภาพการกระจายน้ำกรดและน้ำกลั่น
และเมื่อจอดรถข้ามคืน
ตอนเช้าควรจะสตาร์ตรถยนต์ทิ้งไว้สัก
5-10
นาทีเพื่ออุ่นเครื่องด้วย
8)
ลองตรวจสอบไดชาร์จ
หากพบว่าระบบไฟอ่อน
หรือมีปัญหาตอนสตาร์ตเครื่อง
9)
ห้ามสูบบุหรี่ขณะตรวจสอบแบตเตอรี่เป็นอันขาด
เพราะอาจทำให้แบตเตอรี่เกิดระเบิดได้
10)
สำหรับตัวตาแมวของแบตเตอรี่แห้ง
มีไว้ใช้ดูกำลังไฟ
หากเป็นสีน้ำเงินเท่ากับว่าทุกอย่างปกติดี
หากเปลี่ยนเป็นสีส้มหรือสีแดงแสดงว่าแบตเตอรี่มีปัญหา
จึงต้องชาร์จไฟหรือเติมน้ำกลั่นเพิ่ม
แต่ถ้าเป็นสีขาว
แปลว่าแบตเตอรี่เสื่อมคุณภาพหรือเสีย
ต้องเปลี่ยนแบตเตอรี่ใหม่เท่านั้น
เมื่อดูแลรักษาแบตเตอรี่ให้ใช้งานได้นานแล้ว
ก็ควรลดความเสี่ยงในการขับขี่
วางใจทำประกันภัยรถยนต์กับสินมั่นคงประกันภัย
โทร 1596
หรือคลิก www.smk.co.th
สินมั่นคงประกันภัย
..ประกันรถ
ประกันเวลา..
ขอบคุณที่มาของรูปภาพ Photo source: lonen-ledlighting.com
ขอบคุณที่มาของรูปภาพ Photo source: lonen-ledlighting.com
ไม่มีความคิดเห็น: