Ads Top

SMK Insurance

การขับรถเข้าโค้งให้ปลอดภัย



บริเวณทางโค้งเป็นอีกจุดหนึ่งที่มักเกิดอุบัติเหตุบ่อยครั้ง หลายครั้งเกิดจากผู้ขับขี่ขาดความระวังระมัด หรือ ขับขี่ไม่ถูกต้องจึงได้รวมรวบเทคนิคการเข้าโค้งที่ถูกต้องและปลอดภัย มาแนะนำกันดังนี้


การขับรถเข้าทางโค้งที่ถูกต้องและปลอดภัย 

1. ผู้ขับขี่ต้องชะลอความเร็วรถทุกครั้งก่อนถึงทางโค้ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งต้องเคร่งครัดกับป้ายกำหนดความเร็วที่กรมทางหลวงติดตั้งไว้ เพราะเป็นความเร็วที่ปลอดภัยที่สุด หรือหากไม่มีป้ายเตือนก็ควรใช้ความเร็วรถที่เหมาะกับทางโค้ง เช่น

- ทางโค้งที่มีความยาว 10 เมตร ต้องวิ่งในระดับความเร็ว 15 กม./ชม. 

- ทางโค้งที่มีความยาว 20 เมตร ต้องวิ่งในความเร็ว 25 กม./ชม. 

- ทางโค้งที่มีความยาว 30 เมตร ต้องวิ่งด้วยความเร็ว 30 กม./ชม. 

- ทางโค้งยาว 40 เมตร ต้องวิ่งด้วยความเร็ว 35 กม./ชม. 

- ทางโค้งยาว 50 เมตร ต้องวิ่งด้วยความเร็ว 40 กม./ชม.

- ทางโค้งยาวระยะทาง 50 – 100 เมตร ต้องวิ่งด้วยความเร็ว 50 กม./ชม.


2. ควรเบรกก่อนเลี้ยวแบบค่อยๆ เพื่อที่จะชะลอความเร็วลง และเป็นการถ่ายน้ำหนักมายังด้านหน้ารถ ซึ่งจะทำให้ยางล้อหน้ามีการเกาะยึดมากกว่ายางล้อหลัง ระวังอย่าย่ำเบรกแรงเกินไป เพราะจะทำให้ท้ายสะบัดและรถเสียหลักได้ ส่งผลให้รถเสียการควบคุมจนทำให้เกิดอุบัติเหตุได้


3. ถอนเบรกเมื่อความเร็วของรถอยู่ในระดับที่เหมาะสม ในช่วงนี้น้ำหนักของตัวรถจะเริ่มถ่ายไปอยู่ด้านหลัง


4. เพิ่มคันเร่งไปพร้อมกับการค่อยๆ หักพวงมาลัยเพื่อเลี้ยว โดยน้ำหนักของรถจะเริ่มถ่ายไปในส่วนหน้าอีกครั้ง



5. ในการขับรถเข้าทางโค้งให้ยึดหลักว่า 

- โค้งขวาต้องเกาะเลนซ้ายให้มากที่สุด เพื่อจะได้เห็นทัศนวิสัยได้ดีขึ้น

- โค้งซ้ายให้เกาะเลนกลางไว้ จะช่วยให้เห็นรถที่วิ่งสวนทางมาได้กว้างไกลขึ้น


6. ระหว่างเข้าโค้ง ห้ามเหยียบคลัตช์ ห้ามเข้าเกียร์ว่าง ห้ามเปลี่ยนเกียร์ และห้ามเหยียบเบรกอย่างรุนแรง เพราะจะทำให้รถเกิดแรงเหวี่ยง จนอาจนำไปสู่การแหกโค้ง ยิ่งถ้ากรณีที่ดอกยางรถน้อยอยู่แล้ว การหลุดโค้งอาจเป็นไปได้สูงมาก



7. ห้ามเลี้ยวแบบหักพวงมาลัยแบบเฉียบพลัน เพราะจะทำให้รถเสียการทรงตัว



เพิ่มความคุ้มครองให้กับรถยนต์ของท่าน จากเหตุการณ์ไม่คาดคิด เลือกสินมั่นคงประกันภัย..ประกันรถ ประกันเวลา..วางใจทำประกันรถยนต์กับเรา ด้วยเบี้ยที่ไม่แพง พร้อมบริการที่สะดวก รวดเร็ว โทร 1596 หรือ www.smk.co.th/premotor.aspx




ที่มา: กรมการขนส่งทางบกค่ะ


ไม่มีความคิดเห็น:

ขับเคลื่อนโดย Blogger.