เปลี่ยนสีรถยนต์ต้องทำอย่างไร? ได้สีถูกใจทั้งคันและถูกขั้นตอนทางกฎหมาย
ในการซื้อรถยนต์หนึ่งคัน องค์ประกอบที่สำคัญต่อการตัดสินใจซื้อของคนขับ คือการได้รถยนต์ในสเปกเครื่องยนต์ที่ชอบ ได้ที่สีที่ถูกใจ แต่บางคนอาจประสบปัญหา เจอรุ่นรถที่ถูกใจ แต่กลับไม่ได้สีที่ชอบหรือถูกโฉลกกับดวงชะตาของตัวเองตามความเชื่อ (เช็กลิสต์สีรถยนต์ถูกโฉลก เกิดวันไหนใช้รถสีอะไร มาดูกัน คลิก) เลยจำเป็นต้องเปลี่ยนสีรถยนต์ทั้งคัน เพื่อความสบายใจและตรงกับความชอบส่วนตัว แต่การเปลี่ยนสีรถยนต์นั้น จำเป็นจะต้องทราบรายละเอียดและข้อกฎหมายเรื่องใดบ้าง สินมั่นคงประกันรถยนต์มีคำตอบค่ะ
การเปลี่ยนสีรถยนต์ สามารถแบ่งออกได้เป็น 2 ประเภทใหญ่ๆ คือ
- เคาะ ปะ ผุ ลอกสี โป๊วสี เป็นการทำสีรถยนต์ใหม่ด้วยการลอกสีเดิมออกจนถึงเนื้อเหล็ก ราคาเริ่มต้นอยู่ที่ประมาณ 30,000 บาทขึ้นไป เหมาะกับรถยนต์ที่ได้รับความเสียหายหนัก ไม่ว่าจะเป็นการผุของตัวถัง การมีสนิมกินในบางจุด ไปจนถึงรถยนต์ที่ถูกชนมาหนัก
- สาดสีรถยนต์ทั้งคัน เป็นการทำสีรถยนต์ที่มีรอยแผลไม่มาก หรือรถยนต์ที่มีสีเพี้ยนในบางจุด โดยการสาดสีจะเป็นการทำสีแค่ภายนอกตัวถังรถยนต์เท่านั้น ราคาเริ่มต้นอยู่ประมาณ 8,000 บาท ขึ้นไป ซึ่งความทนทานของสีรถที่ทำมาใหม่จะขึ้นอยู่กับคุณสมบัติของสี วิธีการโป๊วสี และแล็กเกอร์เคลือบสี แต่โดยทั่วไปแล้วสีที่ทำมาจะคงความใหม่สวยงามได้นานถึง 5 ปี ซึ่งการทำสีใหม่ที่อู่ทำสีทั่วไปจะไม่เหมือนกับการทำสีรถใหม่จากโรงงาน เนื่องจากมีระบบทำสีที่ต่างกัน
การทำสีรถแบบสาดสีทั้งคัน จะแบ่งสีออกเป็น 3 ประเภท ดังนี้
1. สี 1 K หรือ Komponent
จะประกอบด้วยตัวสีเพียงอย่างเดียว โดยจะผสมกับตัวทำละลาย (ทินเนอร์) ก่อนนำมาใช้ เพื่อความสะดวกในการพ่นสี หลังพ่นแล้วตัวทำลายจะระเหยออกไปเหลือแต่ตัวสีที่แห้งแล้ว ซึ่งตัวสี 1K มีทั้งแบบสีแห้งเร็วและแห้งช้า ขึ้นอยู่กับชนิดของสี 1K ได้แก่
- สี 1K ซินเทติกอีนาเมล หรือสีน้ำมัน เป็นสี 1K แบบแห้งตัวช้า โดยจะทำปฏิกิริยากับออกซิเจนในอากาศแล้วสีค่อยๆ แห้งไป
- สี 1K ไนโตรเซลลูโลส เป็นสี 1K แบบแห้งตัวเร็ว โดยตัวทำละลาย (ทินเนอร์) จะระเหยตัวทำให้สีแห้งเร็ว
- สี 1K อะคริลิก เป็นสี 1K แบบแห้งตัวเร็ว โดยตัวทำละลาย (ทินเนอร์) จะระเหยตัวทำให้สีแห้งเร็ว
2. สี 2 K หรือ Komponent
จะเป็นระบบแบบสีแห้งช้า แตกต่างจากสีแบบ 1K ตรงที่มีองค์ประกอบที่ 2 คือ สารเร่งปฏิกิริยาเพิ่มเข้ามา ไม่ว่าจะเป็น Hard หรือ Activator ซึ่งจำเป็นต้องผสมทั้ง 2 องค์ประกอบอย่างสมส่วนและลงตัว และสี 2K ยังได้รับความนิยมมากที่สุดสำหรับการพ่นสีรถใหม่ เพราะมีความทนทานต่อสภาพแวดล้อม และให้คุณสมบัติเทียบเคียงกับสี OEM ที่มาจากโรงงานมากที่สุด
3. สี OEM หรือ สีอบ
คือสีที่ใช้ในโรงงานประกอบรถยนต์ สีชนิดนี้จะแห้งตัวโดยการการอบที่อุณหภูมิสูงประมาณ 120-160 องศาเซลเซียส สี OEM เป็นสีที่มีคุณภาพดีมาก แต่การพ่นสีรถยนต์ในอู่หรือศูนย์ซ่อมสีทั่วไปจะไม่ใช้สี OEM เพราะต้องใช้การอบสีที่อุณหภูมิสูงมาก ซึ่งอู่หรือศูนย์บริการไม่สามารถทำได้ อู่ส่วนใหญ่จึงใช้สี 2K ที่มีคุณสมบัติเทียบเคียงกับสี OEM ทดแทน โดยสี OEM มีคุณสมบัติดังนี้
- มีความแข็งแรงของชั้นฟิล์มสีสูง
- มีความทนทานต่อตัวทำละลาย เช่น ทินเนอร์ หรือน้ำมันเบนซินและดีเซลได้ดีมาก
- ทนทานต่อสารเคมีต่างๆ เช่น น้ำมันเบรก ได้ดี
- ทนทานต่อแสงแดดได้ดี จึงไม่ซีดจางง่าย
- มีความคงทนสูงและคงสภาพเดิมได้นานมาก
- มีความเงาในเนื้อสีที่ดี
เมื่อดำเนินการเปลี่ยนสีรถยนต์เสร็จเรียบร้อยแล้ว จำเป็นจะต้องยื่นเอกสารและคำขอเปลี่ยนสีรถยนต์ที่กรมขนส่งทางบกฯ ภายใน 7 วัน นับตั้งแต่วันที่เปลี่ยนสีรถยนต์เสร็จสิ้น หากเกินกำหนด เจ้าของรถจะมีความผิดตามมาตรา 60 ต้องระวางโทษปรับไม่เกิน 2,000 บาท โดยใช้เอกสารและขั้นตอนดังนี้
เอกสารที่ใช้ในการเปลี่ยนสีรถ
- ใบคู่มือจดทะเบียนรถ
- ภาพถ่ายบัตรประจำตัวประชาชน
- หลักฐานการเปลี่ยนสีรถ เช่น ใบเสร็จรับเงินค่าจ้างทำสี
ขั้นตอนการยื่นคำขอเปลี่ยนสีรถ
- ยื่นคำขอพร้อมหลักฐาน เพื่อขอนำรถเข้ารับการตรวจสอบ
- ยื่นตรวจสอบคำขอพร้อมหลักฐานและผลผ่านการตรวจสอบรถ
- ชำระค่าธรรมเนียม ดังนี้
a. ค่าธรรมเนียมการแจ้งเปลี่ยนสีรถ 50 บาท
b. ค่าดำเนินการตรวจสภาพรถโดยกรมการขนส่งทางบก 50 บาท
c. ค่าคำขอ 5 บาท - รอรับเอกสารคืน
ทั้งนี้ ในสถานการณ์ปกติสามารถแจ้งเปลี่ยนสีรถได้ง่ายๆ ด้วยการขับรถเข้ายื่นเอกสารต่อเจ้าหน้าที่ ณ จุดประชาสัมพันธ์ “Drive Thru Service” ภายในอาคารตรวจสภาพรถได้เลยโดยไม่ต้องกรอกแบบคำขอ และเข้ารับการตรวจสภาพจากช่างผู้ตรวจได้ทันที เพื่อไปดำเนินการทางทะเบียนในช่องบริการ “Drive Thru Service” ซึ่งอยู่ในบริเวณเดียวกันได้อย่างสะดวก เพียงนำสมุดคู่มือจดทะเบียนรถ สำเนาบัตรประจำตัวประชาชน และหลักฐานการเปลี่ยนแปลงสาระสำคัญของรถมาแสดงเท่านั้น โดยสามารถใช้บริการ “Drive Thru Service” ได้ที่ กรมการขนส่งทางบก จตุจักร (ตรวจสอบบริการประชาชนภายใต้มาตรการสาธารณสุขเพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อโควิด-19 ของกรมขนส่งทางบก คลิก)
ไม่มีความคิดเห็น: