Ads Top

SMK Insurance

เลือกซื้อแอร์ประหยัดไฟ ไม่ได้ดูแค่เบอร์ 5 ค่า Seer คืออะไร เซ็กเลย!

ทุกครั้งที่มีความจำเป็นต้องซื้อเครื่องใช้ไฟฟ้าสำหรับนำมาใช้ในครัวเรือนนั้น จำเป็นจะต้องศึกษารายละเอียดของอุปกรณ์ไฟฟ้าชนิดนั้นอย่างถี่ถ้วน เพื่อให้ตรงกับความต้องการใช้งานของทุกคนในบ้าน และได้เครื่องใช้ไฟฟ้าที่คุ้มค่ากับเงินที่จ่ายไป รวมถึงประหยัดค่าไฟในแต่ละเดือนได้อีกด้วย (ค่าไฟฟ้าหน้าร้อน แพงขึ้นจากอะไร? มาเช็กกัน https://www.smk.co.th/newsdetail/1578) โดยเฉพาะการเลือกซื้อเครื่องปรับอากาศที่จะช่วยบรรเทาอากาศร้อนภายในบ้าน จะต้องดูจากอะไรบ้าง สินมั่นคงประกันภัย มีข้อมูลมาฝากค่ะ

แอร์อินเวอร์เตอร์ (Conditioner Inverter) คืออะไร ?

แอร์สามารถแบ่งระบบการทำงานออกได้เป็น 2 แบบ ได้แก่

1. แอร์ Inverter

แอร์ที่มีอินเวอร์เตอร์จะถูกออกแบบมาเพื่อลดความเร็วของมอเตอร์ แต่จะทำงานอย่างเงียบ ๆ ตลอดเวลาเพื่อให้ความเย็นที่สม่ำเสมอ หลายคนอาจคิดว่าการที่เครื่องทำงานตลอดเวลาอาจฟังดูเหมือนสิ้นเปลืองไฟ แต่จริง ๆ แอร์แบบ Inverter จะทำงานแบบหนัก-เบาสลับกันไป กล่าวคือสามารถเปลี่ยนระดับความเร็วของมอเตอร์ได้ โดยช่วงที่เบานั้นจะเป็นการติดเครื่องรอไว้ ทำให้แอร์ประเภทนี้ไม่ต้องดับเครื่องแล้วสตาร์ตใหม่ทุกครั้งเหมือนแอร์ทั่วไป

2. แอร์ทั่วไป non-Inverter

ในขณะที่แอร์แบบไม่มีอินเวอร์เตอร์นั้นตัวมอเตอร์จะเร่งทำความเย็นอย่างเต็มที่เต็มกำลัง จากนั้นก็จะดับเครื่องลงเมื่ออุณหภูมิในห้องเท่ากับอุณหภูมิที่ตั้งค่าเอาไว้ และเมื่ออุณหภูมิภายในห้องต่ำกว่าที่กำหนด ตัวมอเตอร์ก็จะกลับมาทำงานใหม่อีกครั้ง กล่าวคือแอร์ชนิดนี้จะไม่สามารถเปลี่ยนระดับความเร็วของมอเตอร์ได้เลย ทำได้เพียงทำงานกับหยุดทำงานเท่านั้น ซึ่งการทำงานแบบติด ๆ ดับ ๆ เช่นนี้จะกินไฟมากกว่า ทั้งยังส่งผลต่ออายุการใช้งานให้สั้นลงอีกด้วย

เลือกประเภทของแอร์ให้เหมาะสมกับพื้นที่

นอกจากแอร์ที่เราคุ้นตากันอยู่ในทุกวันนี้นั้น ยังมีแอร์อีกหลายรูปแบบที่แตกต่างกันตามประเภทของการใช้งาน ซึ่งปัจจุบันมีอยู่ด้วยกัน 4 รูปแบบ ดังนี้

  1. แอร์ติดผนัง (Wall Type) เป็นแอร์ยอดนิยม ที่คุ้นตากันเป็นอย่างดี ด้วยดีไซน์ทันสมัย กะทัดรัด มีให้เลือกหลายขนาด เหมาะสำหรับพื้นที่ที่มีพื้นที่ใช้สอยน้อย เช่น ห้องนอน ห้องนั่งเล่น หรือคอนโด
  2. แอร์แขวนใต้ฝ้า (Ceiling Type) เป็นแอร์ที่มีขนาดใหญ่กว่าแอร์ติดผนัง ประสิทธิภาพกระจายลมได้ดีกว่า แต่จะนิยมยึดติดกับเพดาน หรือฝ้า เหมาะสำหรับพื้นที่ขนาดใหญ่ ๆ เช่น Office สำนักงาน ห้องเรียน หรือโรงงาน
  3. แอร์ฝังเพดาน (Duct Connected Type) เป็นแอร์แบบท่อลมเปลือยเดินระบบบนฝ้า และจะถูกต่อออกมาตามช่องที่เจาะเอาไว้เพื่อปล่อยลม ตัวเครื่องและท่อแอร์จะฝังอยู่ในกำแพงหรือฝ้า ทำให้มองไม่เห็นตัวท่อ ไม่รบกวนพื้นที่ใช้สอย เหมาะสำหรับห้องที่ต้องการความสวยงาม 
  4. แอร์แบบ 4 ทิศทาง (4 Ways Ceiling Cassette Type) เป็นแอร์ขนาดใหญ่ฝังอยู่บนฝ้า มีช่องปล่อยลม 4 ทิศทาง ทำให้เย็นได้ไกลและทั่วถึง เหมาะสำหรับพื้นที่ที่กว้างมาก ๆ เช่น โถงกว้าง โรงแรม ร้านอาหารใหญ่ ๆ

เลือก BTU ที่เหมาะสมกับขนาดของพื้นที่

สิ่งที่ควรคำนึงถึงเป็นลำดับแรก ๆ ของการเลือกซื้อแอร์นั่นก็คือ ค่า BTU ของแอร์ ควรเลือกค่าที่เหมาะสมกับขนาดของห้อง เพราะถ้าหากเลือก BTU ที่ไม่เหมาะสมกับห้องก็จะทำให้แอร์ทำงานได้ไม่เต็มประสิทธิภาพ อย่างเช่น ถ้าเลือกแอร์ BTU ต่ำเกินไปก็จะทำให้แอร์ทำงานหนักเกินกำลัง หรือถ้าเลือก BTU สูงเกินไปแอร์ก็จะตัดบ่อย ทำให้ต้องเริ่มการทำงานใหม่อยู่เรื่อย ๆ  

ก่อนที่จะได้แอร์ที่มีขนาด BTU ตรงความต้องการ จะต้องผ่านการคำนวณ BTU กันก่อน โดยมีสูตรคำนวณคือ “BTU = พื้นที่ห้อง (กว้าง x ยาว) x ตัวแปรความร้อน” โดยห้องที่โดนความร้อนน้อย จะอยู่ที่ 800 – 850 และห้องที่โดนความร้อนมาก จะอยู่ที่ 900 – 1000 ถ้าคำนวณตามสูตรดังกล่าวก็จะได้ค่า BTU ของแอร์ที่เหมาะสมกับการใช้งาน หรือสามารถคำนวณอัตโนมัติผ่านเว็บไซต์ได้เลยที่ https://carrierthailand.com/btu-calculator/ 

เลือกแอร์ที่มีฉลากประหยัดไฟเบอร์ 5 ติดดาว และแอร์ที่มีค่า EER/SEER สูง

การเลือกซื้อแอร์ Inverter แบบประหยัดไฟ ดูเพียงแค่หมายเลข 5 ไม่เพียงพอ ต้องดูค่า SEER ประกอบด้วย นั่นคือ ค่า Seer ยิ่งค่านี้มีมากเท่าไร ก็ยิ่งประหยัดไฟมากขึ้นเท่านั้น

แอร์ที่มีฉลากประหยัดไฟเบอร์ 5 ติดดาว เป็นแอร์ที่ผ่านการทดสอบประสิทธิภาพการประหยัดพลังงานตามมาตรฐานของ กฟผ. และกระทรวงพลังงานแล้วว่า ประหยัดไฟ มั่นใจได้ ยิ่งดาวมากก็จะยิ่งประหยัดไฟมาก นอกจากนี้การเลือกแอร์ที่ประหยัดไฟแอร์ที่ประหยัดไฟก็สามารถดูได้ง่าย ๆ ก็คือ ค่า EER และ SEER  ซึ่งเป็นค่าที่ใช้วัดประสิทธิภาพในการใช้พลังงานของแอร์ว่าดีหรือไม่ มีหน่วยเป็น (Btu/hr.)/W ยิ่งค่านี้สูงเท่าไหร่ก็หมายถึงว่า แอร์มีประสิทธิภาพในการใช้พลังงานได้ดีเท่านั้น แปลว่าประหยัดไฟมากนั่นเอง

ค่า SEER คืออะไร

ค่า Seer (Seasonal Energy Efficiency Ratio) ว่า ค่านี้จะอยู่ในเครื่องปรับอากาศแบบ Inverter หรือ Variable Speed เป็นค่าที่ใช้วัดประสิทธิภาพของการใช้พลังงานของเครื่องปรับอากาศตามฤดูกาล การวัดนี้จะใช้การเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิมาเป็นตัวพิจารณาร่วมด้วย ทำให้มีความใกล้เคียงกับสภาพการใช้พลังงานจริง ๆ มากกว่าแบบอื่น โดยมีระบบเซ็นเซอร์ตรวจจับอุณหภูมิ เมื่ออุณหภูมิถึงระดับที่กำหนดไว้ คอมเพรสเซอร์จะลดรอบลงเพื่อควบคุมระดับความเย็น แต่ไม่หยุดทำงาน

ระบบนี้จะช่วยทำให้ประหยัดไฟฟ้าได้ถึง 30% เพื่อรักษาอุณหภูมิภายในห้องให้คงที่มากกว่าเครื่องปรับอากาศแบบเดิม โดยค่า Seer สามารถหาได้จาก ความเย็นที่่ส่งออกมาในฤดูกาลหนึ่งหารด้วยพลังงานไฟฟ้าทั้งหมดที่ใส่เข้าไปในช่วงเวลาเดียวกัน แต่ก็มีข้อเสียคือ มีราคาที่แพงกว่าระบบอื่น ๆ

แอร์แต่ละประเภทก็มีลักษณะการติดตั้ง และใช้งานแตกต่างกัน ดังนั้นควรเลือกให้เหมาะสมตามลักษณะการใช้งาน และควรหลีกเลี่ยงการใช้แอร์ผิดประเภท เพราะอาจทำให้แอร์ทำงานได้ไม่เต็มประสิทธิภาพและเป็นสาเหตุของการกินไฟมากเกินความจำเป็น ประกันอัคคีภัยที่อยู่อาศัยสำหรับรายย่อย (ไมโครอินชัวรันส์) ให้ความคุ้มครองที่อยู่อาศัยแบบประหยัดสำหรับรายย่อย บ้านอยู่อาศัยและคอนโดมิเนียม ที่รับความเสียหายจาก ภัยจากไฟไหม้ ภัยจากฟ้าผ่าภัยจากการระเบิดทุกชนิด ยกเว้นการก่อการร้าย และ คุ้มครองภัยลมพายุ น้ำท่วม ภัยแผ่นดินไหว และภัยจากลูกเห็บ หรือ ทุกภัยรวมกัน สนใจรายละเอียด คลิก https://www.smk.co.th/others/ประกันอัคคีภัยที่อยู่อาศัย หรือ โทร. 1596 ตลอด 24 ชั่วโมง Line : smkinsurance และสามารถติดตามเนื้อหาสาระดีๆ เพิ่มเติมได้ที่ https://smkinsurance.blogspot.com

ไม่มีความคิดเห็น:

ขับเคลื่อนโดย Blogger.